แสงสีออร่า (ตอนที่ ๒ )
จากเหตุผลดังกล่าวภายหลัง ภายหลังที่ข้าพเจ้า
ได้มีโอกาสไปเที่ยวงานพลังจิตวิทยาศาสตร์
ที่ห้างพันธ์ทิพย์พลาซ่า ซึ่งข้าพเจ้าอยาก
ทราบว่าแสงออร่าพื้นฐานของข้าพเจ้า
ตรงกับการคำนวนหรือไม่ จึงตัดสินใจ
ลองถ่ายรูปด้วยกล้องที่สามารถถ่ายแสงออร่าได้
ก็ปรากฎว่าภาพดังกล่าวแสงออร่า ในตัวของข้าพเจ้า
ตรงกับการคำนวนได้แสงสีน้ำเงินเช่นกัน
และอุปนิสัยโดยส่วนรวมก็ตรงตามนั้น
ดังภาพประกอบต่อไปนี้
๑. นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน
๒. ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาลทอง
๓ โลหิตะ แดงเหมือนตะวันอ่อน
๔. โอทาตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน
๕. มัญเชฎฐะ สีหงสบาทเหมือนอกหงอนไก่
๖. ประภัสสร เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
เมื่อพระโลกนารถทรงพิจารณาธรรมอันละเอียดสุขุม พระโลหิตผ่องใส
วัตถุรูปก็ผ่องใส พระฉวีวรรณ ก็ผ่องใส บังเกิดเป็นฉัพพรรณรังสีเปล่งออกจาก
พระวรกายของพระพุทธเจ้า " ทรงบรรลุพระสัพพญุตญาณ "
ในปุริมยาม ( ยามต้น ) พระโพธิสัตว์ทรงระลึกถึงบุพชาติเป็นอนันต์ ด้วยอำนาจแห่ง
บุพเพนิวาสานุสติญาณ ในมัชฌิมยาม ( ยามกลาง ) ทรงบรรลุจตุปปาตญาณและอนาคตตังสญาณ
เห็นแจ้งจุติและปฎิสนธิแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งทิพย์จักษุญาณ
และในที่สุดแห่งปัจฉิมยาม ( ยามสุดท้าย ) พระองค์ทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ
ทรงตรังรู้เห็นแจ้งในอริยสัจจ์ ๔ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เข้าถึงความหลุดพ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชาสวะ ชาติสิ้นแล้ว
ทรงประพฤติพรหมจรรย์จบสิ้นแล้ว
จากเหตุผลดังกล่าวภายหลัง ภายหลังที่ข้าพเจ้า
ได้มีโอกาสไปเที่ยวงานพลังจิตวิทยาศาสตร์
ที่ห้างพันธ์ทิพย์พลาซ่า ซึ่งข้าพเจ้าอยาก
ทราบว่าแสงออร่าพื้นฐานของข้าพเจ้า
ตรงกับการคำนวนหรือไม่ จึงตัดสินใจ
ลองถ่ายรูปด้วยกล้องที่สามารถถ่ายแสงออร่าได้
ก็ปรากฎว่าภาพดังกล่าวแสงออร่า ในตัวของข้าพเจ้า
ตรงกับการคำนวนได้แสงสีน้ำเงินเช่นกัน
และอุปนิสัยโดยส่วนรวมก็ตรงตามนั้น
ดังภาพประกอบต่อไปนี้
ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์อธิบายปรากฏการณ์แสงออร่าว่าเกิดจากการที่อะตอมของสารต่างๆ
เกิดการสั่นสะเทือนโดยอิเลกตรอนที่วิ่งรอบๆแกนอะตอม และเมื่อมีการเคลื่อนที่ก็มีการรับ
เกิดการสั่นสะเทือนโดยอิเลกตรอนที่วิ่งรอบๆแกนอะตอม และเมื่อมีการเคลื่อนที่ก็มีการรับ
และส่งพลังงานออกมาเพื่อให้ตัวเองมีเสถียรภาพพลังงานที่ปล่อยออกมาจะออกมาในรูปแสง
และคลื่นเสียงออร่าเป็นผลพวงจาก
กระบวนการดังกล่าวในปัจจุบันมีการบันทึกภาพออร่าด้วย
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าเทคนิคแบบเกอร์เลี่ยน
ซึ่งเป็นชื่อของผู้ค้นพบชาวรัสเซียผู้หนึ่งและปัจจุบันได้พัฒนาเทคนิคนี้จนเป็นที่ยอมรับโดย
ซึ่งเป็นชื่อของผู้ค้นพบชาวรัสเซียผู้หนึ่งและปัจจุบันได้พัฒนาเทคนิคนี้จนเป็นที่ยอมรับโดย
นักวิทยาศาสตรได้ใช้ภาพถ่ายเกอร์เลี่ยนนี้ในการศึกษาพลังของสิ่งต่างๆ
โดยเฉพาะพลังอำนาจ
ของชีวิต เช่น ใช้ในการวิเคราะห์โรค ตรวจอำนาจหรือคุณสมบัติบางประการในวัตถุหรือสสาร
(วิเคราะห์จากสเปคตัม)ดังนั้นในวัตถุสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตล้วนก็มีพลังงานทั้งสิ้นฉะนั้น
จึงมีผลต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก
สีออร่าที่แผ่รัศมีออกจากวัตถุนั้นจะเป็นการสื่อว่า
วัตถุชนิดนั้นๆ
มีสภาพเป็นเช่นไร จึงมีการจำแนกสีเพื่อเป็นเครื่องชี้วัดให้เกิดความเข้าใจ
ถึงสถานภาพของวัตถุนั้นๆซี่งในปัจจุบันนี้ก็สามารถดูแสงออร่าจากร่างกายได้โดยใช้กล้อง
ที่สามารถถ่ายแสงออร่า นำมาถ่ายกับแต่ละบุคคล
ทำให้ทราบแสงออร่าของตนเองได้เช่นกัน
หลังจากนั้นข้าพเจ้า
จึงเริ่ม ฝึกสมาธิขั้นต้น เพื่อให้รู้เรื่องดังกล่าวมากขึ้น
โดยเริ่มแรกข้าพเจ้าก็ฝึกสมาธิเหมือนบุคคลทั่วไป และก็ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมไปด้วยบ้าง
โดยเริ่มแรกข้าพเจ้าก็ฝึกสมาธิเหมือนบุคคลทั่วไป และก็ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมไปด้วยบ้าง
เพื่อเลือกวิธี
ที่เหมาะสมกับตนเอง ให้มากที่สุด ข้าพเจ้าเริ่มจากฝึกสมาธิ
เหมือนที่ทุกคน
เคยเรียนกันสมัยเมื่อยังเด็ก นั่งในท่าขัดสมาธิ หายใจเข้า ( พุท) หายใจออก ( โธ )
ซึ่งเริ่มแรกข้าพเจ้ารู้สึกเมื่อยมาก เวลานั่งในท่าขัดสมาธิ ทำให้จิตไม่เป็นสมาธิ ทำให้ข้าพเจ้า
เคยเรียนกันสมัยเมื่อยังเด็ก นั่งในท่าขัดสมาธิ หายใจเข้า ( พุท) หายใจออก ( โธ )
ซึ่งเริ่มแรกข้าพเจ้ารู้สึกเมื่อยมาก เวลานั่งในท่าขัดสมาธิ ทำให้จิตไม่เป็นสมาธิ ทำให้ข้าพเจ้า
จึงเริ่มอ่าน
เรื่องของการวิปัสนากรรมฐานว่ามี กี่ ชนิด
สามารถปฏิบัติได้อย่างไร
ในที่สุดข้าพเจ้า จึงค้นพบว่า ตัวเองควรเริ่มจาก ในท่านอนสมาธิ
เมื่อจิตมั่นคงแล้ว จึงหันกับมาในท่านั่งสมาธิ และฝึกมโนยิทธิ
ในที่สุดข้าพเจ้า จึงค้นพบว่า ตัวเองควรเริ่มจาก ในท่านอนสมาธิ
เมื่อจิตมั่นคงแล้ว จึงหันกับมาในท่านั่งสมาธิ และฝึกมโนยิทธิ
และรู้สึกว่าเหมาะกับตัวของข้าพเจ้ามากกว่า
จึงเริ่มหันมาปฎิบัติอย่างจริงจังตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
เมื่อข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัตินานมากขึ้น
ก็พบว่าแสงสีออร่าสามารถเปลี่ยนได้ตามลำดับขั้นของสี
จากนิมิตสีที่ ๑ สีเขียวตองอ่อน เริ่มหายไป แต่ข้าพเจ้าพบว่านิมิตสีที่ ๒ เริ่มเข้ามา
จากนิมิตสีที่ ๑ สีเขียวตองอ่อน เริ่มหายไป แต่ข้าพเจ้าพบว่านิมิตสีที่ ๒ เริ่มเข้ามา
ในเวลาที่ข้าพเจ้าทรงสมาธิ
เปลี่ยนสีออกไป เป็นเหมือนสีเหลืองทอง สีเดิมทีข้าพเจ้าเคย
เห็นก็ไม่เห็นอีก
หลังจากนั้นก็ยังคงปฎิบัติไปเรื่อยๆ
ก็พบว่า นิมิตสีก็เปลี่ยนไปอีก เป็นนิมิต สีที่๓ เหมือนสีแดง
แต่ไม่ใช่สีแดงสด
เหมือนสีแดงผสมสีส้ม ข้าพเจ้าก็ยิ่งสงสัยว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
สีนิมิต
จึงเปลี่ยนไปจากสีเดิม ที่เคยเห็นก็ไม่เห็นอีกเช่นเคย
ก็ปฎิบัติไปเรื่อยๆ
ก็พบนิมิตสีเปลี่ยนไปอีกในแสงอ่อร่า
ตอนนี้สีทีข้าพเจ้าเห็น
นิมิตสีที่ ๔ เป็นสีขาวนวลเงินสว่าง ก็ปฎิบัติไปเรื่อยๆ นิมิตสีที่ ๔
ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นอีก
ก็เห็นนิมิตสีใหม่ เป็นนิมิตสีที่ ๕
เหมือนสีชมพูบานเย็น นิมิตสีที่ ๔ ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นอีกเช่นเคย
แต่ก็ยังคงปฎิบัติต่อไป
จนไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน
จนตอนหลัง ได้มีความรู้บางอย่างจากผู้อื่นว่า
การฝึกสมาธิสามารถใช้ลูกแก้วช่วยได้
อาศัยพุทธคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นแสงออร่า รวมตัวกันเหมือน
อาศัยพุทธคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นแสงออร่า รวมตัวกันเหมือน
นิมิตเหมือนสีฟ้าครามผสม เหมือนหลายสี ซึ่งข้าพเจ้าเห็นสว่างมาก
และใสวาว
ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรกัน นี่คือนิมิตสี ๖ สีสุดท้าย ที่ข้าพเจ้าได้ พบเห็นจากการ ฝึกสมาธิ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังสงสัยอยู่ว่า คือ สิ่งใด จนกระทั่ง ข้าพเจ้าไปพบหนังสือเล่มหนึ่ง
จึงพบคำตอบว่า นิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นนั้น หน้าจะเป็นแสงสีออร่า ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือที่พุทธศาสนิกชน เรียกว่า “ ฉัพพรรณรังสีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ” มี ๖ ประการ
ฉัพพรรณรังสีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรกัน นี่คือนิมิตสี ๖ สีสุดท้าย ที่ข้าพเจ้าได้ พบเห็นจากการ ฝึกสมาธิ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังสงสัยอยู่ว่า คือ สิ่งใด จนกระทั่ง ข้าพเจ้าไปพบหนังสือเล่มหนึ่ง
จึงพบคำตอบว่า นิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นนั้น หน้าจะเป็นแสงสีออร่า ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือที่พุทธศาสนิกชน เรียกว่า “ ฉัพพรรณรังสีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ” มี ๖ ประการ
๑. นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน
๒. ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาลทอง
๓ โลหิตะ แดงเหมือนตะวันอ่อน
๔. โอทาตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน
๕. มัญเชฎฐะ สีหงสบาทเหมือนอกหงอนไก่
๖. ประภัสสร เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
เมื่อพระโลกนารถทรงพิจารณาธรรมอันละเอียดสุขุม พระโลหิตผ่องใส
วัตถุรูปก็ผ่องใส พระฉวีวรรณ ก็ผ่องใส บังเกิดเป็นฉัพพรรณรังสีเปล่งออกจาก
พระวรกายของพระพุทธเจ้า " ทรงบรรลุพระสัพพญุตญาณ "
ในปุริมยาม ( ยามต้น ) พระโพธิสัตว์ทรงระลึกถึงบุพชาติเป็นอนันต์ ด้วยอำนาจแห่ง
บุพเพนิวาสานุสติญาณ ในมัชฌิมยาม ( ยามกลาง ) ทรงบรรลุจตุปปาตญาณและอนาคตตังสญาณ
เห็นแจ้งจุติและปฎิสนธิแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งทิพย์จักษุญาณ
และในที่สุดแห่งปัจฉิมยาม ( ยามสุดท้าย ) พระองค์ทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ
ทรงตรังรู้เห็นแจ้งในอริยสัจจ์ ๔ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เข้าถึงความหลุดพ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชาสวะ ชาติสิ้นแล้ว
ทรงประพฤติพรหมจรรย์จบสิ้นแล้ว
3 ความคิดเห็น:
หากท่านใดมีประสพการณ์ลักษณะนี้สามารถโพสต์เข้ามาแชร์ประสพการณ์
เพื่อเป็นความรู้สำหรับผู้ที่สนใจต้องการศึกษาเพื่่อเติมหรือเป็นประสพการณ์
แก่ท่านผู้อ่านทั่วไปได้
ผมก็เคยนั่งสมาธิเป็นดินแดนสีชมพูที่ละเอียดมากเรื่องจริงที่เคยผ่านมา(ภานุพงค์ จันทรักษ์
อันนี้ถือออร่าด้วยมั้ยครับ https://www.youtube.com/live/OkvDFcvldJA?si=6rkyImzqU8zBcu6e
แสดงความคิดเห็น