วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พระธาตุข้าวบิณฑ์




ในสมัยพุทธกาล  สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าได้เสด็จไปตามสถานที่ต่างๆ
เพื่อไปโปรดเวไนยสัตว์  วันหนึ่งได้เสด็จไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ของแม่ระมิงค์  เพื่อไปโปรดพวกละว้า  พวกละว้าเหล่านั้นอยู่ในภาวะอดอยาก
ผืนดินแห้งแล้ว  ทำการเพาะปลูกไม่ได้ผล  ต้องหาหัวเผือกหัวมันมาต้มผสม
กับข้าวกินเป็นอาหาร  เพื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงที่นั่น  พวกละว้าก็เอา
ข้าวผสมมัน  ซึ่งเป็นโภชนาหารของตนมาใส่บาตร

พระบรมโลกนาถก็ทรงรับแล้วฉันภัตตาหารเช้า ณ ที่นั้น ซึ่งเรียกว่า ดอนน้อย
เสร็จแล้วก็ทรงให้ศีลให้พรพวกละว้าทั้งหลาย  หลังจากนั้น  จึงทรงนำข้าว
ที่เหลือก้นบาตรไปเทคว่ำไว้ และแสดงปฏิหารย์ให้ข้าวนั้นกลายเป็นหิน 
( เป็นพระธาตุข้าวดังที่เห็นในปัจจุบันนี้ ) พวกละว้า  เมื่อเห็นดังนั้นก็เกิด
เลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก  พระพุทธองค์  จึงทรงให้ศีล ๕ และแสดงธรรม
และรับสั่งให้พวกละว้ารักษาดอนน้อยไว้ให้ดี  และให้รักษาศีล ๕ ไว้เป็นปกติ
ถ้ารักษาได้ก็เหมือนอยู่ใกล้พระพุทธองค์  ถ้ารักษาไม่ได้ก็เหมือนอยู่ใกลสุด
ขอบฟ้าจักรวาล  ข้าวก้นบาตรที่กลายเป็นหินนี้แต่ละเม็ดมีเทพคุ้มครอง 
จากพระธาตุข้าวก็เพิ่มขี้นเรื่อยๆ

เมื่อครูบาชัยวงศาฯ  ได้มาจำพรรษา  เพื่อพัฒนาวัดพระพุทธบาทห้วยต้มที่
อ.ลี้  จังหวัดลำพูน  ท่านได้นิมิตเห็นพระธาตุข้าว  ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ
๒๐๐ กม. ที่ดอยเกิ้ง  ท่านจึงได้อัญเชิญพระธาตุข้าวบางส่วนมาไว้ที่วัด
และแจกให้ลูกหลานนำไปสักการบูชา  ผู้ที่อยู่ในศีลธรรมที่มีพระธาตุข้าว
ไว้บูชาแล้ว  ความอดอยากขาดแคลนจะไม่บังเกิดขึ้น  การทำมาค้าขาย
โดยสุจริตจะได้ผลเจริญงอกงาม  เมื่อประสงค์สิ่งใด้ให้ทำสมาธิ  จิตระลึก
ถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และครูบาชัยวงศาฯ  แล้วตั้งจิต
ขอในสิ่งที่ปรารถนาจะได้ผลดีมากสำหรับผู้ที่มีศีล ๕ เป็นปกติ  ถ้าหากเกิด
โรคภัยไข้เจ็บ  ที่รับประทานยาแผนปัจจุบันแล้วไม่สามารถบรรเทาทุกข
เวทนาให้หายลงได้  ก็ให้ทำน้ำพระพุทธมนต์  ตั้งจิตอธิษฐานแล้วดื่มน้ำ
พระพุทธมนต์นั้น  จะบรรเทาทุกขเวทนาให้หายลงได้  ก็ให้ทำน้ำพระพุทธ
มนต์โดยจุ่มพระธาตุข้าวลงในภาชนะใส่น้ำ  ที่จะทำน้ำพระพุทธมนต์
ตั้งจิตอธิฐานแล้วดื่มน้ำพระพุทธมนต์นั้น  จะบรรเทาทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นได้
และพระธาตุข้าวนี้อาจแตกหัก  ได้ ๒ กรณีคือ

๑.แตกโดยชำรุด
๒.แตกหักโดยนำไปในสถานที่ที่ไม่เป็นมงคล









ไม่มีความคิดเห็น: